8 ก.พ. 2554

ความเป็นมาเมืองกาญจนบุรี


เมืองกาญจนบุรี เป็นเมืองโบราณเก่าแก่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาทุกยุคสมัย สามารถแบ่งออกเป็นยุคสมัยตามหลักฐานที่พบ ได้ดังนี้
สมัยก่อนประวัติศาสตร์

เริ่มตั้งแต่สมัยเริ่มกำเนิดมีมนุษย์ขึ้นในโลก จากสภาพภูมิศาสตร์ที่มีภูเขา แม่น้ำ ป่าไม้ สิงสาราสัตว์มากมาย เหมาะที่จะเป็นที่ตั้งอาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบหลักฐานทางด้านโบราณคดีมากมายได้แก่ เครื่อมือหินกะเทาะ เครื่องมือสมัยหินใหม่ เครื่องมือสมัยโลหะ โครงกระดูกมนุษย์ ภาชนะดินเผา เครื่องประดับ ภาพเขียนสีที่ผนังถ้ำ โลงศพ ฯลฯ ตามถ้ำเพิงผา และตามลำน้ำแควน้อยแควใหญ่ ตลอดไปจนลุ่มแม่น้ำแม่กลอง
สมัยทวาราวดี

เมื่ออินเดียได้เดินทางเข้ามาค้าขาย และเผยแพร่พุทธศาสนายังแคว้นสุวรรณภูมิ ในราวพุทธศตวรรษที่ 11 - 16 พบหลักฐานศิลปะอินเดียสมัยคุปตะในสมัยทวาราวดี ตามลำน้ำแควน้อย แควใหญ่ และแม่กลอง ที่บ้านวังปะโท่ บ้านท่าหวี บ้านวังตะเคียน และพงตึก โบราณวัตถุสถานที่พล เช่น ซากเจดีย์ วิหาร พระพุทธรูป พระพิมพ์ เสมาธรรมจักร ระฆังหิน เครื่องประดับ ภาชนะดินเผา และพบตะเกียงโรมันสำริดที่มีอายุราว พศ.600 นับเป็นโบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุดของไทย
สมัยอิทธิพลขอม

จากหลักฐานทางเอกสารที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงเมืองกาญจนบุรี คือ พงศาวดารเหนือ กล่าวว่า "กาญจนบุรีเป็นเมืองพญากง พระราชทานบิดาของพระยาพาน เป็นเมืองสำคัญของแคว้นอู่ทอง หรือสุวรรณภูมิ มีผู้สันนิษฐานว่าพญากงสร้างขึ้นราว พ.ศ.1350" ต่อมาขอมได้แผ่อิทธิพลนำเอาศาสนาพุทธมหายานเข้ามาประดิษฐานในเมืองกาญจนบุรี ปรากฏหลักฐานคือปราสาทเมืองสิงห์ เมืองครุฑ เมืองกลอนโด จนอำนาจอิทธิพลขอมเสื่อมลงไป
สมัยอยุธยาเป็นราชธานี

ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองกาญจนบุรีปรากฏชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ต้องกลายมาเป็นเมืองหน้าด่าน เพราะตั้งอยู่ติดกับประเทศคู่สงครามคือพม่า กาญจนบุรีจึงเป็นเส้นทางเดินทัพและสมรภูมิ ด้วยเหตุว่ามีช่องทางเดินติดต่อกับพม่า คือ ด่านพระเจดีย์สามองค์ และด่านบ้องตี้ จึงนับว่ามีความสำคัญที่สุดเมืองหนึ่งในทางยุทธศาสตร์ ยังปรากฏชื่อสถานที่ในพงศาวดารหลายแห่งเช่น ด่านพระเจดีย์สามองค์ สามสบ ท่าดินแดง พุตะไคร้ เมืองด่านต่าง ๆ เมืองกาญจนบุรีตั้งอยู่ในช่องเขาริมลำน้ำแควใหญ่มีลำตะเพินอยู่ทางด้านทิศเหนือ ด้านหลังติดเขาชนไก่ ห่างจากที่ตั้งปัจจุบันไปประมาณ 14 กิโลเมตร ชาวบ้านเรียกกันว่าเมืองกาญจนบุรีเก่ามีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 170x355 เมตร มีป้อมมุมเมืองก่อด้วยดินและหินทับถมกัน ลักษณะของการตั้งเมืองเหมาะแก่ยุทธศาสตร์ในสมัยนั้นอย่างยิ่ง ด้วยเป็นซอกเขาที่สกัดกั้นพม่าที่ยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ มุ่งจะไปตีเมืองสุพรรณบุรีและอยุธยาจำเป็นต้องตีเมืองกาญจนบุรีให้ได้เสียก่อน หากหลีกเลี่ยงไปอาจจะถูกกองทัพที่เมืองกาญจนบุรีตีกระหนาบหลัง ปัจจุบันยังมีซากกำแพงเมือง ป้องปราการ พระปรางค์ เจดีย์ และวัดร้างถึง 7 วัดด้วยกัน สมัยอยุธยานี้ไทยต้องทำสงครามกับพม่าถึง 24 ครั้ง กาญจนบุรีเป็นสมรภูมิหลายครั้ง และเป็นทางผ่านไปตีอยุธยาจนต้องเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2310 และต้องย้ายราชธานีใหม่
สมัยธนบุรีเป็นราชธานี

กรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่จากการกู้เอกราชโดยพระเจ้ากรุงธนบุรี ในสมัยนี้เกิดสงครามกับพม่าถึง 10 ครั้ง กาญจนบุรีเป็นสมรภูมิอีกหลายครั้ง เช่น สงครามที่บางกุ้ง และที่บางแก้ว ซึ่งมีสมรภูมิรบกันที่บริเวณบ้านหนองขาว
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี

เมื่อไทยย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เพียง 3 ปี ก็เกิดสงครามใหญ่คือ สงคราม 9 ทัพ แต่ไทยสามารถยันกองทัพพม่าแตกพ่ายไปได้ ณ สมรภูมิรบเหนือทุ่งลาดหญ้าในปีต่อมาก็ต้องทำสงครามที่สามสบและท่าดินแดงอีก และไทยตีเมืองทวาย จากนั้นจะเป็นการรบกันเล็กน้อยและมีแต่เพียงข่าวศึก เพราะพม่าต้องไปรบกับอังกฤษในที่สุดก็ตกเป็นเมืองขึ้น และเลิกรบกับไทยตลอดไป ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยุทธศาสตร์การรบเปลี่ยนไป โดยเหตุที่พม่าต้องนำทัพลงมาทางใต้เพื่อเข้าตีกรุงรัตนโกสินทร์ จำเป็นต้องมีทัพเรือล่องลงมาจากสังขละบุรี มาตามลำน้ำแควน้อยผ่านอำภอไทรโยคมายังปากแพรก ซึ่งเป็นที่รวมของแม่น้ำทั้งสอง ด้วยเหตุนี้หลังจากสิ้นสงคราม 9 ทัพแล้ว จึงได้เลื่อนที่ตั้งฐานทัพจากเมืองกาญจนบุรีที่ลาดหญ้า มาตั้งที่ตำบลปากแพรก ซึ่งเป็นที่รวมของแม่น้ำทั้ง 2 สาย กลายเป็นแม่น้ำแม่กลอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงอธิบายว่า "ที่จริงภูมิฐานเมืองปากแพรกดีกว่าเขาชนไก่ เพราะตั้งอยู่ในที่รวมของแม่น้ำทั้ง 2 สาย พื้นแผ่นดินที่ตั้งเมืองก็สูงแลเห็นแม่น้ำน้อยได้ไกล ป้อมกลางย่านตั้งอยู่กลางลำน้ำทีเดียว แต่เมืองกาญจนบุรีที่ย้ายมาตั้งใหม่นี้เดิมปักเสาระเนียดแล้วถมดินเป็นเชิงเทินเท่านั้น" ในสมัยรัชกาลที่ 2 กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้เสด็จออกมาขัดตาทัพ กำแพงเมืองก็คงเป็นระเนียดไม้อยู่ ต่อมาจนถึง พ.ศ.2374 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้โปรดให้ก่อสร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการขึ้นเป็นถาวร ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อติดต่อค้าขายกับเมืองราชบุรี ดังพระราชนิพนธ์เสด็จพระพาสไทรโยค กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "แต่มีเมืองปากแพรกเป็นที่ค้าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมอยู่เหนือมากมีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งเมืองเสียที่ปากแพรกนี้เป็นทางไปมาแก่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่สร้างขึ้นใหม่ กว้าง 5 เส้น ยาว 18 วา มีป้อม 4 มุมเมือง ป้อมย่านกลางด้านยาวตรงหน้าเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต้มีป้อมใหญ่อยู่ตรวเนิน ด้านหลังมีป้อมเล็กตรงกับป้อมใหญ่ 1 ป้อม" การสร้างเมืองกาญจนบุรีใหม่นี้ ดังปรากฏในศิลาจารึกดังนี้ ให้พระยาราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจเป็ฯนพระยาประสิทธิสงครามรามภักดีศรีพิเศษประเทศนิคมภิรมย์ราไชยสวรรค์พระยากาญจนบุรี ครั้งกลับเข้าไปเฝ้าโปรดเกล้าฯว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นเมืองอังกฤษ พม่า รามัญ ไปมาให้สร้างเมืองก่อกำแพงขึ้นไว้จะได้เป็ฯชานพระนครเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์มั่นคงไว้แห่งหนึ่ง ในปัจจุบันกำแพงถูกทำลายลงโดยธรรมชาติและหน่วยราชการเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เหลือเพียงประตูเมืองและกำแพงเมืองบางส่วน
การปกครองของเมืองกาญจนบุรี

ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นประกอบด้วยเมืองด่าน 8 เมือง อยู่ในแควน้อย 6 เมือง แควใหญ่ 2 เมือง ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางยุทธศาสตร์ เพราะได้ตั้งให้พวกมอญอาสา มอญเชลย และกะเหรี่ยง เป็นเจ้าเมืองปกครองกันเอง เพื่อให้มีเกียรติศัพท์ดังออกไปเมืองพม่าว่ามีหัวเมืองแน่นหนาหลายชั้น และมีหน้าที่คอยตระเวณด่านฟังข่าวคราวข้าศึกติดต่อกันโดยตลอด เมื่อสงครามว่างเว้นลงแล้ว เจ้าเมืองกรมการเหล่านี้ก็มีหน้าที่ส่งส่วย ทองคำ ดีบุก และสิ่งอื่นๆ แก่รัฐบาลโดยเหตุที่ในสมัยนั้นมิได้จัดเก็บภาษีอากรจากพวกเหล่านี้แต่อย่างใด เมืองด่าน 7 เมือง(รามัญ 7 เมือง) ประกอบด้วยเมืองในสุ่มแม่น้ำแควน้อย 6 เมือง และแควใหญ่ 1 เมือง คือ

ตัวอย่างโปรแกรมท่องเที่ยว

นั่งรถไฟเที่ยว ( 3 วัน 2 คืน )
วันแรก
- เช้า เดินทางโดยรถไฟ สายบางกอกน้อย - กาญจนบุรี - น้ำตก ที่สถานีรถไฟ บางกอกน้อย ผ่านเส้นทางรถไฟสายมรณะ ลงที่สถานีน้ำตก
- จากนั้นต่อรถรับจ้างไปท่าเรือปากแซง นั่งเรือชมทิวทัศน์ ลำน้ำแควน้อย เที่ยวถ้ำละว้า
- พักที่เรือนแพ ริมแม่น้ำแควน้อย

วันที่ 2
- เช้า เที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อย ถ้ามีเวลาไปถ้ำสวรรค์วังบาดาล
- บ่าย ขึ้นรถไฟ จากสถานีน้ำตก ไปตัวเมืองกาญจนบุรี ถึงสถานีกาญจนบุรี ชมสุสานดอนรัก เดินเที่ยวย่านตัวเมืองเก่า ชมวัดเหนือ วัดใต้ พิพิธภัณฑ์สงครามโลก ครั้งที่ 2 วัดญวน พิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย - พม่า
- เดินทางไป สังขละบุรี (รถประจำทางสาย กาญจนบุรี - สังขละบุรี )
- ถึงสังขละบุรีช่วงเย็น เดินเที่ยวชมสะพานไม้ อุตตมานุสรณ์ วัดวังก์วิเวการาม
- พักที่รีสอร์ต หรือ แพริมน้ำ

วันที่ 3
- เช้า ชมทิวทัศน์ยามเช้าบริเวณที่พัก เหมารถไปเที่ยวด่านเจดีย์สามองค์
- ช่วงบ่าย กลับไป อ.เมือง เดินเที่ยวชมในตัวเมือง
- กลับกรุงเทพฯ โดยรถประจำทางปรับอากาศ
เที่ยวดอย - ท่องสังขละบุรี ( 3 วัน 2 คืน)
วันแรก
- ออกจากกรุงเทพฯ แต่เช้า มุ่งหน้าสู่ อ.ทองผาภูมิ ออกเดินทางต่อไปตามเส้นทางสู่บ้านอีต่อง แวะชมเขื่อนวชิราลงกรณ์
- ช่วงบ่าย เดินทางสู่ อช.ทองผาภูมิ ถ้าไปถึงไม่เย็นมาก สามารถเดินทางไปบ้านอีต่อง ชมทิวทัศน์ ที่เนินเสาธง และแวะแปลงปลูกดอกไม้เมืองหนาว ที่ ปิล็อกฮิลล์
- พักแรมที่ อช.ทองผาภูมิ กางเต็นท์ หรือ พักบ้านทาร์ซาน ก็ได้

วันที่ 2
- เช้า ชมทิวทัศน์ ที่สวยงาม ของขุนเขา สลับซับซ้อน และสายหมอก จากเนินกูดดอย
- เดินทางไปน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ต้องเดินประมาณ 2 กม. ชมธรรมชาติ เล่นน้ำตก
- เดินทางกลับ มุ่งหน้าสู่ อ.สังขละบุรี แวะชมน้ำตกเกริงกระเวีย พักแรมที่รีสอร์ตริมน้ำ ที่ อ.สังขละบุรี

วันที่ 3
- เช้า ชมทิวทัศน์ ที่สวยงาม ของทะเลสาบเหนือเขื่อน
- เดินเที่ยวสะพานไม้อุตตมานุสรณ์ ในสายหมอก ชมวัดวังก์วิเวการาม ซื้อของฝากจาก พม่า
- เดินทางไปด่านเจดีย์สามองค์ สามารถขับรถเข้าไปท่องเที่ยว ฝั่งพม่าได้ หรือเลือกเดินเที่ยวซื้อหาสินค้า ที่ด่านฝั่งไทยก็ได้
- บ่าย เดินทางกลับกรุงเทพฯ

6 ก.พ. 2554

เทศกาล งานประเพณี




















งานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว
จังหวัดกาญจนบุรีจะจัดงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควขึ้นทุกปี   ในราวปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม   เพื่อรำลึกถึงความสำคัญของการสร้างทางรถไฟสายมรณะ   และสะพานข้ามแม่น้ำแคว    ซึ่งเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา  มีการแสดงนิทรรศการทางประวัติศาสตร์    และโบราณคดี   การแสดงพื้นบ้าน   การออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง  และการแสดงแสงและเสียง  บริเวณสะพานข้าม แม่น้ำแคว
River  Kwai   Bridge   Week
Each  year,   late   November   and/or  early  December.  The   world   famous  bridge   becomes  the  focal   point   of   celebrations.  Highlights   include   exibittions  and   historical   and  arhaeo-logical  displays : a  carnival  featuring   sideshows,  roundabout,  folk  entertainment,  and   cultural   performances :  rides  on  trains  houled   by  World  War   ll  vintage   steam  locomotives :  and   a  nightly  light   and  sound   presentation   re-enacting  the   bridgeus   Second   World   War   history,  including   on  Allied  bombing   raid.





























งานวันชาวเรือชาวแพ จัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ที่บริเวณถนนสองแคว ริมน้ำหน้าเมืองกาญจนบุรี ภายในงานมีกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้าน นิทรรศการทางวิชาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์แม่น้ำ ลำคลอง และการแข่งขันกีฬาทางน้ำ


ประเพณีรำเหย่ย เป็นการละเล่นพื้นบ้านของชาวกาญจนบุรี จัดในช่วงเทศกาลตรุษจีน สงกรานต์ และปีใหม่ ปัจจุบันนิยมเล่นเฉพาะในเขตอำเภอพนมทวน

5 ก.พ. 2554

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของแต่ละอำเภอ

อ. เมือง และใกล้เคียง



สะพานข้ามแม่น้ำแคว  เป็นสะพานที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยแรงงานของประชาชนชาวไทยที่ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงาน และบางส่วนจากเชลยศึกของสัมพันธมิตร





สุสานทหารพันธมิตรดอนรัก ตั้งอยู่ริมถนนแสงชูโต ( ทางหลวงหมายเลข ๓๒๓ ) ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่ผ่านตัวเมืองจะไปไทรโยค ทองผาภูมิ สุสานอยู่บริเวณอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๒ กิโลเมตร สุสานแห่งนี้เป็นสุสานของเชลยศึกสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตในระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ บริเวณสุสานมีเนื้อที่กว้างขวางสวยงามและเงียบสงบ ชวนให้รำลึกถึงเหตุการณ์การสู้รบและผลลัพธ์ที่ตามมา สุสานแห่งนี้บรรจุศพทหารเชลยศึกถึง ๖,๙๘๒ หลุม  คณะกรรมาธิการสุสานสงครามแห่งเครือจักรภพ รับผิดชอบในการดูแลบำรุงรักษาสุสาน




อ. ไทรโยค




อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปราสาทเมืองสิงห์ เป็นโบราณสถานที่มีศิลปะการก่อสร้างอยู่ในยุคลพบุรีตอนปลาย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ สร้างขึ้นด้วยศิลาแลง  ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส มีเนื้อที่ประมาณ ๘๐๐ ไร่  โดยได้รับอิทธิพลทางศาสนา และวัฒนธรรมจากขอม ตัวปราสาทล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง คูน้ำและแนวคันดิน รูปแบบสถาปัตยกรรมและประติมากรรมสร้างตามลักษณะขอบแบบบายน ตรงกับสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ของประเทศกัมพูชาที่มีลักษณะช่างท้องถิ่นผสมอยู่ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา๐๘.๐๐-๑๖.๐๐ น. 
ค่าเข้าชมสำหรับชาวไทย ๑๐ บาท ชาวต่างประเทศ ๔๐ บาท







น้ำตกไทยโยคน้อย
น้ำตกไทยโยคน้อย  เดิมเรียกว่า น้ำตกเขาพัง อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข ๓๒๓ ( ถนนสายกาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ ) กิโลเมตรที่ ๔๖ เป็นน้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของกาญจนบุรี บริเวณน้ำตกมีสภาพธรรมชาติที่สวยงามร่มรื่น โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนประมาณเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมจะมีน้ำมาก ในอดีตเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( รัชกาลที่ ๔ ) เสด็จประพาสบริเวณน้ำตกไทยโยค บริเวณน้ำตกไทรโยคน้อยยังมีหัวรถจักรไอน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาตั้งไว้เพื่อรำลึกถึงการสร้างทางรถไฟสายมรณะที่สร้างผ่านบริเวณหน้าน้ำตกเข้าสู่ประเทศพม่า 
การรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดขบวนรถไฟสายน้ำตก พานักท่องเที่ยวไปชมน้ำตกแห่งนี้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ สอบถามได้ที่โทร ๐๑-๒๒๓๗๐๑๐

อ. ทองผาภูมิ




เขื่อนวชิราลงกรณ หรือเขื่อนเขาแหลม
เขื่อนวชิราลงกรณ เดิมชื่อ เขื่อนเขาแหลม ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าขนุน ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี ๑๕๓ กิโลเมตร สามารถเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๒๓ เหนืออำเภอทองผาภูมิไปประมาณ ๖ กิโลเมตร เขื่อนวชิราลงกรเป็นเขื่อนหินถมดาดหน้าด้วยคอนกรีต บริเวณสันเขื่อนมีความสวยงามตามธรรมชาติ บริเวณเหนือเขื่อนมีทิวทัศน์สวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือล่องในทะเลสาบเหนือเขื่อนได้ มีแพพักแพล่องมากมายอยู่บริเวณเลยทางเข้าเขื่อนไป ๓ กิโลเมตร สำหรับการล่องเรือชมทิวทัศน์สภาพธรรมชาติของอ่างเก็บน้ำ 


อุทยานแห่งชาติลำคลองงู
เป็นชื่อของลำห้วยซึ่งไหลวกวนและสลับซับซ้อนผ่ากลางผืนป่ากัดเซาะเพิงผาเทือกเขาหินปูนกลายเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่หลายแห่ง ประกอบกับการสะสมของตะกอนหินปูนที่ใช้เวลานานแสนนานจึงเกิดหินงอกหินย้อยประติมากรรมของธรรมชาติที่สวยงาม ภายในอุทยานแห่งชาติลำคลองงูมีถ้ำหลายแห่งและสวยงามน่าไปเที่ยวชม



ถ้ำเสาหิน เป็นถ้ำขนาดใหญ่ ภายในมีเสาหินธรรมชาติที่เกิดจากหินงอกหินย้อยที่สูงที่สุดในโลก







ถ้ำเวิร์ลคัพ  เป็นหนึ่งในหลายถ้ำของอุทยานแห่งชาติลำคลองงู ในถ้ำมีหินงอกขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนถ้วยฟุตบอลโลก รูปทรงแปลกตาและสวยงาม 





ถ้ำนกนางแอ่น
ถ้ำนกนางแอ่น มีลักษณะเป็นถ้ำหลายถ้ำที่อยู่ต่อเนื่องกันโดยมีช่องเปิดที่เป็นหุบเขาเป็นตัวแบ่งโถงน้ำ ภายในมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม เป็นไฮไลท์ของเที่ยวถ้ำของอุทยานแห่งชาติลำคลองงู




น้ำตกทุ่งนางครวญ
น้ำตกทุ่งนางครวญ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านทุ่งนางครวญ ตำบลชะแล ในเขตอุทยานแห่งชาติลำคลองงู เป็นน้ำตกหินปูนขนาดใหญ่มีทั้งหมด ๗ ชั้น ร่มรื่นและสวยงาม สภาพน้ำตกยังคงความเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมทั่วบริเวณตัวน้ำตกซึ่งเป็นหินปุน แต่ละชั้นมีลักษณะเป็นหน้าผาขนาดสูงใหญ่ มีน้ำไหลตลอดปี
การเดินทาง ใช้ข้อมูลเดียวกับการเดินทางมาอุทยานแห่งชาติลำคลองงู แต่ทางเข้าน้ำตกอยู่ก่อนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติลำคลองงู ถึงหมู่บ้านทุ่งนางครวญ จะมีทางแยกขวาเข้าน้ำตกประมาณ ๓ กิโลเมตร ทางเข้าเป็นถนนลูกรัง จนถึงหน่วยฯ น้ำตกนางครวญ เดินเท้าเข้าตัวน้ำตกประมาณ ๑ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ ๓๐ นาที ถึงน้ำตกชั้นที่๑ เดินตามน้ำตกไปเรื่อยๆ จะถึงน้ำตกชั้นล่างซึ่งเป็นชั้นที่สูงมาก การเดินทางเข้าเที่ยวชมน้ำตกในช่วงฤดูฝนควรติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางเพื่อความปลอดภัย เพราะช่วงดังกล่าวจะมีน้ำเยอะ ทางเดินบางช่วงไม่สามารถผ่านได้หากไม่มีความชำนาญในเส้นทางและอันตราายมาก



ถ้ำน้ำตก 
เป็นถ้ำที่ภายในมีหินงอกหินย้อยที่กำลังเจริญ เป็นถ้ำที่เข้ายากและอันตราย ธรรมชาติเปราะบาง  ว่างๆ จะมาเขียนต่อ















4 ก.พ. 2554

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของแต่ละอำเภอ 2

อ. ทองผาภูมิ

เขื่อนวชิราลงกรณ หรือเขื่อนเขาแหลม
เขื่อนวชิราลงกรณ เดิมชื่อ เขื่อนเขาแหลม ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าขนุน ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี ๑๕๓ กิโลเมตร สามารถเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๒๓ เหนืออำเภอทองผาภูมิไปประมาณ ๖ กิโลเมตร เขื่อนวชิราลงกรเป็นเขื่อนหินถมดาดหน้าด้วยคอนกรีต บริเวณสันเขื่อนมีความสวยงามตามธรรมชาติ บริเวณเหนือเขื่อนมีทิวทัศน์สวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือล่องในทะเลสาบเหนือเขื่อนได้ มีแพพักแพล่องมากมายอยู่บริเวณเลยทางเข้าเขื่อนไป ๓ กิโลเมตร สำหรับการล่องเรือชมทิวทัศน์สภาพธรรมชาติของอ่างเก็บน้ำ 

อุทยานแห่งชาติลำคลองงู
เป็นชื่อของลำห้วยซึ่งไหลวกวนและสลับซับซ้อนผ่ากลางผืนป่ากัดเซาะเพิงผาเทือกเขาหินปูนกลายเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่หลายแห่ง ประกอบกับการสะสมของตะกอนหินปูนที่ใช้เวลานานแสนนานจึงเกิดหินงอกหินย้อยประติมากรรมของธรรมชาติที่สวยงาม ภายในอุทยานแห่งชาติลำคลองงูมีถ้ำหลายแห่งและสวยงามน่าไปเที่ยวชม 

 ถ้ำเสาหิน เป็นถ้ำขนาดใหญ่ ภายในมีเสาหินธรรมชาติที่เกิดจากหินงอกหินย้อยที่สูงที่สุดในโลก

ถ้ำเวิร์ลคัพ  เป็นหนึ่งในหลายถ้ำของอุทยานแห่งชาติลำคลองงู ในถ้ำมีหินงอกขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนถ้วยฟุตบอลโลก รูปทรงแปลกตาและสวยงาม


อ. สังขละบุรี


สะพานมอญ
สะพานมอญ อยู่ในตัวอำเภอสังขละบุรี เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาวถึง ๘๕๐ เมตร สร้างข้ามลำน้ำซองกาเลีย

วัดวังก์วิเวการาม
วัดวังก์วิเวการาม อยู่เลยจากตัวเมืองสังขละบุรีไปประมาณ ๖ กิโลเมตร เป็นวัดจำพรรษาของ หลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั้งชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งกะเหรี่ยง และพม่าที่อาศัยอยุ่ในบริเวณนั้น ภายในวิหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันงดงาม ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อขาว จากวัดวังก์วิเวการามแยกไปอีก ๑ กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของเจดีย์แบบพุทธคยา มีลักษณะฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นกระดูกนิ้วห้วแม่มือขวาขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีมีการจัดงานคล้ายวันเกิดหลวงพ่ออุตตมะ ในงานมีกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วยพิธีกรรมทางศาสนา การแข่งขันชกมวยคาดเชือก การแสดงของชมรมวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น การรำแบบมอญ การรำตงของชาวกะเหรี่ยง และในงานประชาชนจะพร้อมใจกันแต่งกายตามแบบวัฒนธรรมของชาวไทยรามัญและจัดเตรียมสำรับอาหารทูนบนศีรษะไปถวายพระสงฆ์ที่วัด

ด่านเจดีย์สามองค์
 ด่านเจดีย์สามองค์ ตั้งอยุ่สุดเขตแดนไทยทางทิศตะวันตกที่อำเภอสังขละบุรี พระเจดีย์สามองค์นี้เดิมเรียกว่า หินสามกอง เป็นที่สักการะของคนไทยโดยทั่วไปก่อนเดินทางออกจากเขตแดนไทยไปพม่า ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรีได้เป็นผู้นำชาวบ้านก่อสร้างเจดีย์ขนาดเล็กสามองค์ดังที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้ด่านเจดีย์สามองค์ยังเป็นช่องทางเดินทัพที่สำคัญของไทยและพม่าในอดีต  บริเวณด่านเจดีย์สามองค์ มีร้านขายสินค้าจากประเทศพม่า จำพวกพลอย หยก อัญมณี และสินค้าจำพวกไม้แกะสลัก และเฟอร์นิเจอไม้  นักท่องเที่ยวสามารถข้ามชายแดนเข้าไปเที่ยวชมตลาดพญาตองซู ในเขตประเทศพม่าได้ โดยเสียค่าผ่านด่าน  ชาวไทย ๒๕ บาท ชาวต่างประเทศ ๑๐ เหรียญสหรัฐ สามารถนำรถเข้าไปได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมคันละ ๕๐ บาท ด่านเปิดให้ผ่านได้ในระหว่างเวลา ๐๘.๐๐ - ๑๘.๐๐ น.

3 ก.พ. 2554

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของแต่ละอำเภอ 3

อ. พนมทวน

พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือเจดีย์ยุทธหัตถี แห่งนี้มิใช่เป็นเพียงแค่สถานที่ท่องเที่ยว หากแต่ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งมีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ของชาติไทย   สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชาของพม่า ทำให้อยุธยาเป็นอิสระจากพม่า  จากประวัติศาสตร์ และหลักฐานแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เชื่อได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ทำสงครามยุทธหัตถี พื้นที่ไร่นาของชาวบ้านย่านนี้เต็มไปด้วยวัตถุโบราณที่ใช้ในการทำสงคราม ทั้งเครื่องศาสตราวุธ เครื่องประดับช้างม้า ลูกประคำม้า เครื่องประดับช้าง ตราม้าศึกษา ลูกปืนทั้งที่ยิงแล้วและที่ยังไม่ได้ยิง อีกทั้งบริเวณนี้ยังมีเจดีย์เก่าแก่จากรูปแบบศิลปะทราบว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีลักษณะคล้ายสถูป เชื่อว่าเป็นสถูปที่สร้างเพื่อบรรจุพระศพของพระมหาอุปราชา และมีการขุดพบโครงกระดูก ๑ โครงภายในเจดีย์เก่าแก่องค์นี้ ห่างออกไปเพียง ๕๐๐ เมตร มีเจดีย์ขนาดเล็กสามองค์อยู่กลางทุ่ง ตามปกติการสร้างเจดีย์จะต้องสร้างขึ้นที่วัด แต่เจดีย์สามองค์นี้สร้างไว้กลางทุ่งใกล้กับเจดีย์เก่าแก่องค์แรก  เชื่อได้ว่าเจดีย์สามองค์นี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสักการะแต่ดวงวิญญาณของเหล่าทหารแม่ทัพนายกองล้มตายจากการศึกในครั้งนี้ ทั้งพม่ารามัญและไทย และยังมีหลักฐานอีกมากมาย รายละเอียดอีกมากมายจะนำเสนอให้ได้ชมกันไม่นานนี้  
่ภายในบริเวณมีอาคารแสดงนิทรรศการ ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาต่างๆ และจัดแสดงโบราณวัตถุที่ชาวบ้านพบจากพื้นที่บริเวณนี้เก็บแสดงไว้ในตู้โชว์ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษา  อาคารถัดมาคือห้องพิพิธภัณฑ์พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีวีดีทัศน์เพื่อให้ความรู้กับนักท่องเที่ยว เฉพาะห้องนี้เสียค่าบำรุงคนละ 20 บาท
การเดินทาง  จากกาญจนบุรีใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๓๒๔ จากกาญจนบุรีไปประมาณ 14 กิโลเมตร มีทางแยกขวาเข้าสู่พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ระยะทาง ๔ กิโลเมตร มีป้ายบอกชัดเจน ถนนดีสะดวกสบาย

พระโพธิ์สัตว์กวนอิม วัดทุ่งสมอ   
พระโพธิสัตว์กวนอิมประดิษฐานอยู่ภายในวัดทุ่งสมอ ตำบลทุ่งสมอ เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ใหญ่ที่มีลักษณะงดงาม ตั้งอยู่กลางแจ้งบริเวณทิศตะวันออกของพระอุโบสถ  ถัดไปทางด้านขวาเป็นที่ประดิษฐานพระสังกัจจายน์   นอกจากนี้วัดทุ่งสมอยังมีพระอุโบสถที่สวยงามภายในมีพระประธานองค์ใหญ่ให้ได้กราบไหว้
การเดินทาง  จากตัวเมืองกาญจนบุรีใช้เส้นทางหลวงหมายเลข ๓๒๔ จากกาญจนบุรีไปประมาณ 15 กิโลเมตร อยู่เลยจากทางเข้าพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไปเล็กน้อย วัดอยู่ติดกับถนนใหญ่ เดินทางสะดวกสบาย


อ. บ่อพลอย

อำเภอบ่อพอย อยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ ๔๗ กิโลเมตร  ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบเชิงเขาสลับกับเนินเขาเตี้ย ๆ บริเวณตอนใต้ของอำเภอมีลักษณะเป็นที่ราบเชิงเขา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 10 - 100 เมตร บริเวณตอนบนของอำเภอทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะเป็นเนินเขาเตี้ย ๆ และภูเขา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ย 100 - 300 เมตร และ 300 - 600 เมตร ตามลำดับ แหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญ คือ ห้วยลำตะเพิน ห้วยกระพร้อย ห้วยลำอีซู และห้วยแม่ระวาง  ในตัวอำเภอบ่อพลอยมีร้านขายพลอยอยู่หลายร้าน พลอยที่ได้จากการทำเหมืองอุตสาหกรรม ได้แก่ พลอยไพลิน นิล และบุษราคัม 

 

สวนสัตว์เปิดซาฟารีปาร์ค   เป็นสวนสัตว์ที่ดำเนินงานโดยเอกชน อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๔๐ กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๐๘๖ ( กาญจนบุรี-บ่อพลอย)  จนถึงกิโลเมตรที่ ๒๑ จะเห็นป้ายสวนสัตว์เปิดทางซ้ายมือ นับเป็นสวนสัตว์เปิดแห่งแรกของกาญจนบุรี ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับสัตว์นานาชนิด เช่น กวาง หมี เสือ สิงโต ม้าลาย ยีราฟ อูฐ และสัตว์อื่นๆ อีกมากมายอย่างใกล้ชิด นักท่องเที่ยวสามารถขับรถเข้าไปเที่ยวชมได้ด้วยตนเอง หรือสำหรับผู้ที่ไม่ได้นำรถส่วนตัวมา ทางสวนสัตว์ได้จัดรถไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวสามารถชมสัตว์ได้อย่างใกล้ชิด พักผ่อนชมสวนผีเสื้อ สวนดอกไม้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน  ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๘.๐๐ น.  ( ปิดจำหน่ายบัตรเวลา ๑๗.๓๐ น. )  
ค่าเข้าชม  ผู้ใหญ่ ๑๒๐ บาท เด็ก ๗๐ บาท  สอบถามรารละเอียดได้ที่ โทร 034-628271, 034-4500088-9


เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ  ไปตามเส้นทางสายกาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์  ประมาณ ๒๗ กิโลเมตร  ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมือง อำเภอบ่อพลอย อำเภอหนองปรือ อำเภอศรีสวัสดิ์ ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน และประกอบด้วยที่ราบระหว่างหุบเขา  เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญของแม่น้ำแควใหญ่ ยอดเขาสูงที่สุด คือ เขาหัวโล้น สูงประมาณ ๑,๑๗๐ เมตร จากระดับทะเลปานกลาง อยู่บริเวณตอนกลางของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จัดตั้งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของประเทศไทยเป็นสถานที่เหมาะสำหรับการศึกษาธรรมชาติ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ๓ เส้นทางคือ ๑. เส้นห้วยลำอีซู  ๒. เส้นห้วยสะด่อง   ๓. เส้นทุ่งสลักพระ  และยังมีเส้นทางที่สามารถเดินไปชมทิวทัศน์ริมขอบอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ห้วยแม่ละมุ่น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 01-8802183



หอดูดาวเกิดแก้ว  ตั้งอยู่ที่ตำบลหลุมรัง อำเภอบ่อพลอย ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๕๕ กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๐๘๖ ( กาญจนบุรี-บ่อพลอย-หนองปรือ)  ประมาณกิโลเมตรที่ ๔๙  ทางซ้ายมือ  เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ ๓ กิโลเมตร  ภายในสถานที่มีหอดูดาวรูปโดมไว้ห้ความรู้เกี่ยวกับดวงดาว ยังมีที่พักไว้บริการ  เหมาะสำหรับผู้รักธรรมชาติและสนใจในด้านดาราศาสตร์  สนใจกิจกรรมควรติดต่อ  โทร. 01-9274140



อ. หนองปรือ

โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  ตั้งอยู่ที่ตำบลสมเด็จเจริญ ไปตามทางหลวงกาญจนบุรี-หนองปรือ-ด่านช้าง ทางหลวงหมายเลข ๓๐๘๖ ประมาณ ๗๑ กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๔๘๐ อีก ๒๐ กิโลเมตร โครงการนี้มีพื้นที่กว่าสองหมื่นไร่ ตั้งขึ้นเพื่อเป็นโครงการอนุรักษ์และพัฒนาลุ่มน้ำองคต มีผลการดำเนินงานในหลายๆ ด้าน เช่น การปลูกสวนป่า การส่งเสริมการเลี้ยงไก่ไข่ การเลี้ยงปลา การปลูกผักปลอดสารพิษ นอกจากนี้มีการขุดพบซากโบราณสถาน เครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในบริเวณนี้ ปัจจุบันนำไปไว้ที่โรงเรียนประชามงคล ติดต่อล่วงหน้าเพื่อเข้าชมโครงการเป็นหมู่คณะได้ที่สำนักงานกองอำนวยการโครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โทร 01-7364685


น้ำพุร้อนบ้านโป่งช้าง   ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งช้าง หมู่ที่ 5 ตำบลหนองปรือ ห่างจากที่ว่าการอำเภอหนองปรือ ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร ไปตามเส้นทางสายหนองปรือ - ถ้ำธารลอด เป็นทางลาดยาง  ลักษณะเป็นน้ำพุร้อนที่ผุดจากใต้พื้นดิน มีอุณหภูมิ 45 องค์ศาเซลเซียส ได้มีการจัดสร้างเป็นบ่อน้ำพุรวม 3 บ่อ และสร้างลานคอนกรีตเป็นวงรอบ ให้นักท่องเที่ยวสามารถลงอาบน้ำและนั่งเส่นน้ำได้โดยรอบ นอกจากนี้บริเวณโดยรอบได้มีการจัดทำเป็นสวนหย่อมและศาลาที่พัก ให้สามารถพักผ่อนและชมบรรยากาศได้อย่างเพลิดเพลิน


ถ้ำโบราณบ้านห้วยใหญ่่ ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยใหญ่ หมู่ที่ 23 ตำบลหนองปรือ ห่างจากที่ว่าการอำเภอหนองปรือประมาณ ประมาณ 11 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางสายหนองปรือ - ถ้ำธารลอด ถึงหมู่บ้านโป่งช้าง  และแยกไปตามเส้นทางลูกรัง  มีถ้ำอยู่ใกล้เคียงกัน 3 ถ้ำ  อยู่บริเวณเชิงเขาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของภูเขาหินตั้ง ภายในถ้ำประกอบด้วยหินงอกหินย้อยที่สวยงาม  ด้านหน้าถ้ำเป็นจุดชมวิวที่สามารถชมทัศนียภาพได้สวยงาม เห็นเทือกเขาสลับซับซ้อน   ชาวบ้านในพื้นที่เป็นผู้เรีกชื่อ  ถ้ำโบราณ  เนื่องจากในช่วงที่มีการค้นพบถ้ำครั้งแรก ๆ ชาวบ้านได้เคยพบเศษชิ้นส่วนของภาชนะและเครื่องมือเครื่องใช้ในสมัยโบราณในบริเวณถ้ำแห่งนี้